ระบบการจัดการการขนส่ง หรือ TMS คืออะไร?

  Transport Management Solutions หรือ TMS คืออะไร? TMS เป็นระบบการจัดการการขนส่งที่ใช้ซอฟต์แวร์ในการช่วยให้ธุรกิจจัดการการดำเนินงานของห่วงโซ่อุปทานโลจิสติกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการประสานงานและเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของผลิตภัณฑ์และวัสดุ ระบบการจัดการการจัดส่งหรือ “Transportation Management System (TMS)” เป็นแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดส่ง เป็นส่วนย่อยของการจัดการห่วงโซ่อุปทานเกี่ยวกับโซลูชั่นการจัดส่ง TMS ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมการจัดส่งได้อย่างอัตโนมัติและได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งในอนาคต บริษัทผู้ผลิต องค์กรอีคอมเมิร์ซ และใครก็ตามที่จัดส่งสินค้าเป็นประจำต่างตระหนักว่ามีส่วนต่างๆ มากมายในกระบวนการจัดส่งทั้งที่เป็นจริงและที่เปรียบเปรย ตั้งแต่การแจ้งราคาจนถึงการจัดส่ง การจัดส่งสินค้าเหล่านั้นมักจะมองหาวิธีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้จ่ายและปรับปรุงกระบวนการ ดังนั้นระบบการจัดการการจัดส่ง TMS จึงเป็นโซลูชั่นที่ช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างประสบความสำเร็จทั้งระบบ   หน้าที่และประโยชน์ทั่วไปของ TMS ได้แก่ การวางแผนการจัดส่งพัสดุและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่ง – ฟังก์ชันนี้จะช่วยในด้านต่าง ๆ เช่นกำหนดวิธีการที่คุ้มค่าที่สุดในการจัดส่งคำสั่งซื้อ (truckload, ltl, air freight, intermodal ฯลฯ ) หรือวิธีที่ดีที่สุดในการรวมคำสั่งซื้อหลายรายการเข้าด้วยกัน การจัดส่ง ข้อตกลงอัตราค่าบริการและสัญญามักจะตั้งอยู่ในฟังก์ชั่นนี้เช่นกัน Routing Guide ช่วยในการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดของผู้ขายให้เป็นไปตามตารางการกำหนดเส้นทางขาเข้าเป็นสิ่งสำคัญต่อการบริหารต้นทุน ศูนย์กลางการกำหนดเส้นทางสำหรับบริษัทที่มีสถานที่จัดส่งหลายแห่งสามารถปรับปรุงและปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ การบริหารจัดการการดำเนินการและการสื่อสารของผู้ให้บริการสื่อสารซึ่งรวมถึงเครื่องมือสำหรับช่วยในการเลือกผู้ให้บริการคำนวณค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง (รวมถึงค่าบริการสายการบินค่าธรรมเนียมน้ำมันและค่าบริการเสริม) การจัดซื้อจัดจ้างและอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับผู้ให้บริการ (ตั๋วแลกเงินและหลักฐานการจัดส่ง) ทัศนวิสัย […]

กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 33 ซีรี่ส์ 2

เอ็มเอฟซีปลื้มยอดจองซื้อทาร์เก็ตฟันด์กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 33 ซีรี่ส์ 2 (SPOT33S2) ล้น เตรียมเปิดขายกองทุนเปิดใหม่เป็นกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 33 ซีรี่ส์ 3 รองรับความต้องการของผู้สนใจวันที่ 25-26 ธันวาคมนี้เท่านั้น โดยนางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

กสิกรไทย เอาใจผู้ลงทุน LTF/RMF

บลจ.กสิกรไทยเปิดตัวบริการใหม่รายแรกเอาใจผู้ลงทุน LTF/RMF Download หนังสือรับรองการซื้อออนไลน์ ควบแนบไฟล์ผ่าน E-mail ลดปัญหาเอกสารสูญหาย พร้อมยื่นขอคืนภาษีได้ทันใจ เริ่ม 21 ม.ค.นี้ ซึ่งนางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.เตรียมเปิดตัวบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกดาวน์โหลดหนังสือรับรองการซื้อกองทุน LTF/RMF ออนไลน์ผ่าน www.kasikornasset.com เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในกองทุน LTF/RMF กสิกรไทย ในการใช้เอกสารประกอบการยื่นและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปีภาษี 2555 โดยจะเริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 21 มกราคมนี้

คลังไม่กังวลเงินไหลออก

กิตติรัตน์บอกมาช้ายังดีกว่าไม่มา หลังกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย ชี้เงินไหลออกไม่ใช่เรื่องเสียหาย กดบาทอ่อน หนุนส่งออก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่าการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาที่ 0.25% ในปัจจุบันอย่างน้อยมาช้าก็ดีกว่าไม่มา โดยในส่วนนโยบายการเงินก็ให้กนง.ว่าไป ซึ่งในส่วนคลังที่ดูแลเศรษฐกิจโดยตรงก็จะดูแลไป

กสิกรคาดจีดีพีปีนี้โต 3%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 อาจเติบโตเพียง 1.0% ซึ่งเป็นการย้ำทิศทางการชะลอตัวตลอดทั้งปี และกดดันให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ขยายตัวที่ 3.0% เทียบกับที่ขยายตัว 6.5% ในปี 2555สัญญาณแรกเริ่มของการฟื้นตัวของการส่งออกที่ถูกลดทอนลงด้วยสัญญาณซบเซาของการใช้จ่ายภาคเอกชน และอาจจะสมทบด้วยความล่าช้าของการเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณของภาครัฐ ท่ามกลางภาวะตึงเครียดของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญต่อจังหวะการกลับเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปีข้างหน้า เพราะต้องยอมรับว่าการลากยาวของตัวแปรความเสี่ยงทางการเมือง จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ซึ่งประเมินไว้ขณะนี้ว่าอาจขยายตัวในกรอบ 4-5%”คงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญต่อจังหวะการกลับเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปีข้างหน้า” เอกสารเผยแพร่ ระบุอย่างไรก็ดี ขณะนี้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยที่ทยอยมีภาพที่ดีขึ้น น่าจะช่วยหนุนการกลับสู่เส้นทางการฟื้นตัวของการส่งออกไทย แต่จังหวะการขยายตัวที่มั่นคงมากขึ้นอาจเกิดขึ้นในช่วงปีข้างหน้า ดังนั้นแม้จะคาดว่าการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 อาจสามารถพลิกกลับมาขยายตัวที่ประมาณ 1.5% แต่ภาพรวมของอัตราการขยายตัวของการส่งออกในปี 2556 น่าจะเติบโตเพียง 0.5% เท่านั้นส่วนสถานการณ์อุปสงค์ในประเทศในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2556 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า บรรยากาศการใช้จ่ายของภาคเอกชนอาจอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก แม้จะเข้าสู่ช่วงเฉลิมฉลองปลายปี เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ครอบคลุมช่วงเวลาส่วนใหญ่ของไตรมาสที่ 4/2556 เป็นปัจจัยกดดันที่เพิ่มเติมเข้ามา นอกเหนือไปจากความกังวลต่อภาระหนี้, ค่าครองชีพ และแนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวม”การบริโภคและการลงทุนโดยรวม(องค์ประกอบของจีดีพี) จะหดตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ซึ่งก็เท่ากับว่าแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภายในประเทศยังไม่สามารถฟื้นกลับมามีบทบาทช่วยประคองทิศทางเศรษฐกิจไทยได้ในปีนี้” เอกสารเผยแพร่ระบุ

ทองปีใหม่ไม่คึกคักอย่างที่คิด

คลาสสิกโกลด์ ได้ชี้บรรยากาศซื้อทองปีใหม่ไม่คึกคัก โดยมีสาเหตุจากเป็นช่วงที่ราคาขาลงคนแห่ซื้อเก็บเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว พร้อมคาดจะไม่มีปัญหาทองคำขาดตลาด น.ส.ณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ คาดว่าบรรยากาศการซื้อทองคำจะไม่คึกคักมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นช่วงขาลงของราคาทองคำ ส่งผลให้ผู้ซื้อน่าจะมีการซื้อเก็บไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตช่วงนี้หรือไม่ เชื่อว่าร้านทองแต่ละแห่งน่าจะมีการเตรียมผลิตเพื่อรับมือต่อความต้องการซื้ออยู่แล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาทองคำขาดตลาด แต่อย่างไรก็ตาม ในปีหน้ามองว่ายังเป็นช่วงขาลงของราคาทองคำอยู่ โดยปัจจัยที่เป็นตัวกดดันมาจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐฯ (คิวอี) ที่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศขณะนี้ แม้จะยืดเยื้อหรือไม่ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อราคาทองคำ และสำหรับแนวโน้มราคาทองคำในปีหน้า คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในช่วง 17,600-23,000 บาทต่อบาททอง ขณะที่ช่วงนี้คาดว่าแนวรับจะอยู่ที่ 17,600 บาทต่อบาททอง ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 19,000 บาทต่อบาททอง แนะนำนักลงทุนให้จัดสรรพอร์ตให้ดี มีการขายทำกำไรระยะสั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วย